วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อีกครั้งที่พบกัน...

หมายเหตุ: เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากความทรงจำ

“โปรดส่งใครมารักฉันที อยู่อย่างนี้มันเหงาเกินไป อยากจะรู้รักแท้มันเป็นเช่นไร มีจริงใช่ไหม โว้...โวววว...”
ฉันร้องเพลงนี้ให้ตัวเองฟัง...ชีวิตที่เงียบเหงาของฉันจะจบลงเมื่อไหร่นะ?

วันนี้ วันที่ 12 ม.ค. 2553 ฉันวิ่งจนขาแทบขวิด เพราะมีงานสัมมนาซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรเลยกับหน้าที่ซึ่งฉันรับผิดชอบอยู่ แต่ที่ต้องทำเป็นเพราะ ผอ.ศูนย์ฯ ที่ฉันทำงานได้รับเชิญเป็นวิทยากร...คงอยากให้งานออกมาดูดีที่สุดในชีวิตนั่นแหล่ะ
วันนี้ฉันต้องรับผิดชอบทั้งถ่ายรูป ดูแลเรื่องห้องที่แน่นขนัด แล้วก็ต้องวิ่งทำงานตามที่ได้รับคำสั่ง(คำบัญชาการ) ความจริงฉันต้องวิ่งไปวิ่งมาตั้งแต่เช้าแล้วล่ะ เพราะว่า ผอ.คนนี้เป็นคนไฮเปอร์เสียเหลือเกิน (แล้วมันเกี่ยวอะไรกะตูวะเนี่ย)
ฉันไม่รู้ว่าวันนี้จะเกิดสิ่งพิเศษอะไรกับฉันหรือไม่ ฉันจึงแต่งกายค่อนข้างแก่ (กว่าอายุ) ผมไม่ได้หวี และหน้าก็ไม่ได้แต่งด้วย ก็มันช่างเหมือนกับทุกๆ วันที่ผ่านมานี่นา
ขณะที่ฉันยืนพักอยู่หลังห้องซึ่งมีผู้เข้าร่วมสัมมนาบางคนยืนอยู่ก่อนแล้วนั้น ฉันสังเกตเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ รู้สึกคุ้นหน้าเขามากจึงแอบมองเขาบ่อยๆ แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าเคยเจอคนคนนี้ที่ไหน จึงได้แต่เก็บความสนเท่ห์ไว้ในใจ และภาระงานที่รับผิดชอบก็ไม่เอื้อให้ฉันให้ความสนใจเขาได้เต็มที่นัก
เวลาผ่านไปพอสมควร ผู้ชายคนที่ฉันคุ้นหน้าก็หันมาถามสิ่งที่จุดประกายความจำของฉัน
“น้องเคยทำงานที่ ก.พ.ร. ใช่มั้ย”
ฉันหันหน้าไปมองเขาอย่างรวดเร็ว นึกได้ในทันทีว่าเคยพบกันที่ไหน
“ใช่ค่ะ หนูก็ว่าหน้าพี่คุ้นๆ เราเคยเจอกันตอนที่ไปดูงาน ปตท. ใช่มั้ยคะ?” ฉันถามเขากลับ
“อืม...ใช่ ย้ายจากที่เก่าแล้วเหรอ” เขาถาม หันมามองฉันเต็มตามากขึ้น
“ใช่ค่ะ ตอนนี้ทำที่ มธ.นี่แหล่ะ”
“ขออีเมล์ของน้องได้ไหม พี่อยากได้รูปงานวันนี้สักสองสามรูป เผื่อต้องใช้”
ฉันรู้สึกยินดีอย่างประหลาด และไม่คิดมากเลยตอนที่จดอีเมล์ให้เขาไป
“น้องชื่ออะไรนะ” เขาถามต่อ
“ชื่อออมค่ะ แล้วพี่ล่ะคะ”
“พี่ชื่อต่อ อ่ะพี่ให้อีเมล์แล้วกันนะ” เขาเขียนอีเมล์ และชื่อฉีกกระดาษแผ่นนั้นส่งให้ฉัน
เมื่อฉันตอบรับว่าเล่น เราก็ไม่มีเวลาพูดคุยกันมากไปกว่านั้น ฉันต้องไปทำหน้าที่ดูแลเรื่องสถานที่ และอำนวยความสะดวกในงาน จึงปลีกตัวออกไป และเมื่อหันไปมองเขาก็ไม่เห็นเขาอีกแล้ว เขาอาจจะกลับไปแล้วก็ได้
ระหว่างที่นั่งรถกลับบ้าน ฉันจึงมีเวลามานั่งรำลึกถึงวันที่ต้องเดินทางไปดูแลความสะดวกในการเดินทางไปดูงาน ปตท. ที่ชลบุรี ในตอนนั้นฉันยังคงทำงานอยู่ในหน่วยงานแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใจกลางสยาม และเป็นเพียงพนักงานชั่วคราวเท่านั้น ฉันจำได้ว่าเขาคนนั้นคือคนที่ฉันแอบมองบ่อยๆ เขาเป็นผู้ชายร่างสูง 180 กว่าๆ ได้ล่ะมั้ง ตาคม ผิวค่อนข้างขาว และดูเคร่งขรึม ฉันแอบสังเกตเขาอยู่เงียบๆ ดูเหมือนเขาไม่สนใจฉันเสียด้วยซ้ำ
ฉันต้องแจกลูกอมบนรถ ซึ่งก็ต้องแจกเขาด้วย แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาหันมามองฉันสักเท่าไร ฉันเสียอีกที่มองเขาอยู่บ่อยๆ
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ฉันก็เริ่มสงสัยว่าเขาขออีเมล์ของฉันน่ามีเหตุผลเพียงแค่เรื่องงานเท่านั้นหรือเปล่า คงไม่ได้มีเหตุผลอื่นหรอก ว้า แย่จัง...ฉันเลยไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเมื่อถึงวันพรุ่งนี้ เขาจะแอดมาหรือเปล่า

เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นเช้าอันตื่นเต้นของฉัน ฉันอยากรู้ว่าเขาจะแอดมาหรือไม่ เมื่อฉันลงชื่อเข้าระบบเอ็มเอสเอ็น ก็มีหน้าต่างขึ้นมาว่ามีผู้ต้องการให้ฉันรับแอด ฉันดูที่อีเมล์ ก็เห็นว่าเป็นคนละอันกับที่พี่ต่อให้ฉันเมื่อวานนี้ แต่ในที่สุดฉันก็ตอบรับ
สักพักใครคนนั้นก็ทักฉัน...เป็นคนแรกของวันเลยล่ะ
“หวัดดีคับ จำพี่ต่อได้มั้ย”
ฮูเร! เขาจริงๆ ด้วย แหม นี่เขาก็แอบคิดอะไรกับฉันเหมือนกันสิเนี่ย รีบแอดเมล์มาตั้งแต่เช้ายังงี้ ฮ่ะๆๆ ไม่ได้ๆ ต้องสงวนท่าทีไว้ๆ เราเป็นแม่ย่าแม่หญิงนะ จะจัดเต็มตั้งแต่แรกได้ยังไง ใช่มั้ยๆ ฮี่ๆๆๆ
“หวัดดีค่ะ จำได้ค่ะ พี่ต่อคนเมื่อวานใช่มั้ยคะ” ฉันตอบกลับไปด้วยความยินดี ความจริงแล้วฉันรู้ตั้งแต่เห็นชื่ออีเมล์แล้วล่ะว่าต้องเป็นเขา ถามว่ารู้ได้ยังไงน่ะเหรอ...ไม่รู้สิ มันรู้สึกได้ว่าต้องเป็นเขาล่ะมั้ง ฉันจึงไม่แปลกในเลยที่เขาตอบมาว่าใช่ แล้วเราก็คุยกันเรื่องสัพเพเหระกัน...
ตั้งแต่วันนั้น เราก็เริ่มคุยกันหลายๆเรื่อง ได้แลกเปลี่ยนทัศนคติกัน ทำความรู้จักกันมากขึ้น จนมันเริ่มเป็นความเคยชิน (สำหรับฉัน) ที่ต้องคุยกันบ่อยๆ ก็เลยคุยกันไปเรื่อยๆ แต่ฉันก็เริ่มรอคอยที่จะได้คุยกันมากขึ้นทุกวันๆ สงสัยจะเป็นความเคยชินจริงๆนั่นแหล่ะ

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เวลาที่คุณผิดหวัง..คุณจัดการกับอารมณ์ตัวเองอย่างไร?

เวลาที่ฉันผิดหวัง ฉันเอาแต่คิดถึงแต่สิ่งแย่ๆ คิดถึงแต่เรื่องลบๆ คิดวนเวียนแต่เรื่องที่ทำให้ฉันเสียใจ ฉันจึงต้องระบาย บางทีก็มุ่ยคนอื่นด้วยคำพูดที่แย่ๆ หรือบางทีฉันก็เคยนั่งร้องไห้เป็นชั่วโมง โดยไม่สนใจว่าหน้าตาจะยู่ยี่ยังไง ไม่สนใจว่าความถี่ของการเต้นของหัวใจจะเป็นกี่ครั้งต่อนาที ไม่สนใจว่าจะถึงเวลากินข้าวแล้วหรือยัง นี่เป็นสิ่งที่ฉันเลือกทำร้ายคนอื่น และทำร้ายตัวเอง เหมือนต้องการให้ความเจ็บปวดแสดงออกมาเป็นรูปธรรมให้ชัดขึ้น

เมื่อวานนี้ ฉันใช้วิธีนั้นอีกครั้ง เอาแต่ร้องไห้ เรื่องราวมันไม่ได้ใหญ่โต สำหรับฉันมันไม่ใช่ความผิดของใคร มันมีแต่ความไม่เข้าใจต่างหากที่ทำให้ฉันต้องมีคำถามต่างๆ ที่วนเวียนอยู่ในหัวว่า ฉันร้ายกาจมากนักหรือ เขาจึงไม่ทะนุถนอมความรู้สึกของฉัน ทำไมใครๆ ก็ผิดนัดฉัน เพื่อนฉันนอนหลับหน้าตาเฉยวันที่เรานัดกันมาสังสรรค์ และเขาก็ยกเลิกนัดเพราะติดประชุม เขาไม่ผิด แต่เขาไม่เข้าใจว่าฉันจะรู้สึกผิดหวัง ฉันจะเสียใจ ในตอนนั้นฉันเอาแต่คิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามา คิดแต่เรื่องแย่ๆ แล้วฉันก็เลือกใช้วิธีการขี้ขลาด ไร้สมอง นั่นคือทิ้งข้อความระบายความรู้สึกฝากไว้ใน IM ที่ออฟไลน์ของเขา ตอนพิมพ์ไม่คิด มาคิดทีหลังตอนมีสติแล้ว ก็รู้ว่าเป็นการกระทำที่งี่เง่ามาก

ตอนนี้ฉันรู้สึกแย่ที่ใช้คำพูดไม่ดีกับเขา ที่รู้สึกแย่เพราะฉันเอาแต่พิมพ์ ไม่โทรไป ไม่ให้เขาได้บอกว่าทำไมถึงเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น ฉันไม่โทรไปเพราะฉันกลัวว่าเขาจะไม่ยอมรับโทรศัพท์ ไม่โทรกลับ (เอาแต่ห่วงความรู้สึกของตัวเอง) ฉันไม่ได้ต้องการจะโทษเขา แต่ฉันแค่อยากให้เขารับรู้ความรู้สึกผิดหวังของฉันว่ามันเป็นยังไง ถึงตอนนี้ แม้ฉันจะบอกว่าฉันรู้สึกเสียใจและไม่ชอบความงี่เง่าของตัวเอง เขาก็รับรู้ แต่เขาอาจจะไม่เข้าใจสิ่งที่ฉันรู้สึกจริงๆ

เวลาฉันผิดหวัง ฉันขาดสติมากๆ ฉันไม่อยากเป็นคนแบบนี้อีกแล้ว ฉันคู่ควรกับความสุขมากกว่านี้ใช่มั้ย หรือว่าเราเลือกที่จะรู้สึกไม่ได้ แต่ฉันว่าเราเลือกที่จะคิดได้

ถ้าอย่างนั้น ฉันคงทำได้แค่ มีสติกับทุกสถานการณ์...นี่คงเป็นวิธีจัดการความผิดหวังที่ได้ผลที่สุด

วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

หลักไมล์...กับ…สองมือ...

เราสงสัยมาตลอดว่า ความสัมพันธ์ของคนสองคนนั้น มีอะไรสามารถวัดได้ว่ากำลังเดินไปข้างหน้า ย่ำอยู่กับที่ หรือกำลังเดินถอยหลังลงคลอง เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเดินถึงไหนแล้ว เราควรเร่งสปีดให้ความสัมพันธ์คืบหน้าไหม หรือควรลดระดับความเร็วลง? ถ้าเราสามารถวัดระดับความสัมพันธ์ได้ เหมือนมีหลักไมล์เป็นตัวบอกระยะทางได้ก็คงดี บางทีก็อาจจะทำให้รู้ว่าเรากำลังเดินบนถนนผิดสายหรือเปล่า

สำหรับเรา เราไม่รู้เลยว่าหลักไมล์ของเรากับเขาเป็นแบบไหน หรือว่าเราจะใช้มาตรวัดเหมือนกันหรือไม่ บางทีเราใช้หลักไมล์ แต่เขาอาจจะเป็นหลักกิโลเมตรก็ได้ การบังคับให้อีกคนใช้มาตรวัดเดียวกันก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เราจึงไม่รู้จริงๆ ว่า เรากำลังเดินไปถึงจุดไหนแล้ว

หรือเป็นเพราะว่าเราไม่เคยมีเป้าหมายทำให้ไม่รู้จุดที่เราอยู่ หากเราสามารถบอกได้ว่าเป้าหมายคืออะไร ก็อาจจะทำให้เรามีความสุขกับการเดินทางมากกว่านี้?

มีครั้งหนึ่ง ที่เราเคยเหนื่อยกับการเดินทาง จนเกือบจะหยุดพัก เพราะเราพยายามดันให้ความสัมพันธ์นี้เดินไปข้างหน้า เพื่อให้แตะหลักไมล์ที่สอง สาม สี่ ที่เราตั้งขึ้นมา แต่มันยากเกินไป ตอนนั้นเราเหนื่อยจริงๆ

เรากลับมานั่งคิดดูถึงสาเหตุของมัน ก็ทำให้รู้ว่าเป็นเพราะเรายึดติดกับคำว่า “ระดับความสัมพันธ์” มากเกินไป เราต้องการความชัดเจน แน่นอน กับสิ่งที่ไม่แน่นอนที่สุดอย่างความรู้สึก มันเลยทำให้เราเหนื่อย ท้อแท้ หมดหวัง เพราะเราหวังกับสิ่งที่ไม่มีตัวตนอย่างความรัก ถ้าเราไม่เอาแต่ทำแต้มกับหลักไมล์ เราก็ไม่จำเป็นต้องทำให้มันเดินไปข้างหน้า แค่ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติก็พอ

ตอนนี้ ถึงแม้เราจะยังอยากรู้ว่าเรากับเขากำลังอยู่ตรงไหน และจะเดินไปยังจุดไหน แต่เราก็จะไม่เอาคำว่าระดับความสัมพันธ์ซึ่งเป็นนามธรรม มาทำให้เราลังเลกับการจูงมือเขาไปบนทางสายนี้อีก เราจะแค่เดินจูงมือเขาให้ที่สุด เพราะ “การคบกันเหมือนการเดินจูงมือกันไปบนถนนขรุขระที่มีวิวทิวทัศน์อันรื่นรมย์” แม้มันไม่ได้ยาวนัก แต่ก็มากพอที่จะอยู่เหนือการควบคุมของเรา

วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อัศวินสองล้อ กับเด็กหน้ามึน

เราไม่เคยรู้สึกรักการนอน เท่ากับตอนตื่น...
เรารู้สึกอย่างนี้ทุกๆ เช้าที่ต้องตื่น โดยเฉพาะวันที่มีเวลากำหนดว่าต้องตื่นภายในกี่โมง ต้องออกจากบ้านภายในกี่โมง ต้องถึงสถานีรถไฟฟ้าภายในกี่โมง และที่สำคัญต้องสแกนนิ้วภายในกี่โมง โอ้ววว ก้อดเฮล์ปมี!

ดังนั้นเมื่อเราไม่สามารถควักตัวเองจากที่นอนได้ เราก็เลยต้องขอความช่วยเหลืออัศวิน
อัศวิน หรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่า “พี่วิน” คือบุรุษ (หรือในบ้างคราก็มีสตรีบ้างประปราย) ผู้จะพาเราผ่านสภาวะเร่งรีบในวันรถติดเช่นนี้ได้

ลุกขึ้นแปรงฟัน แต่งตัว อ่าว..ข้ามขั้นตอนอาบน้ำไปได้ยังไง..อาบน้ำ ทาแป้ง แต่งตัว ก็รีบรุดออกจากบ้านไปอย่างง่วงงุน หน้าตามึนงงเหมือนยังยอมรับความจริงไม่ได้ว่าชีวิตของวันนี้เริ่มต้นขึ้นแล้วววววว

เดินไปหน้าปากซอย เรียกพี่วิน “พี่ สถานีรถไฟค่ะ”
แล้วเราก็ได้อัศวินเป็นของตัวเองในเช้านี้ พี่วินพาเราลัดเลาะไปตามรถเก๋ง รถกระบะ รถเมล์ รถจักยาน รถมอ’ไซลค์และรถเก๋งอีกครั้งไป ไอ้เด็กหน้ามึนข้างหลังก็ง่วงจนลืมมองทาง

รถจอด เรามองขึ้นมา เอ๊ะๆ ยังไม่ถึงนี่นา ทำไมพี่วินจอดอ่ะ

เรา : พี่จอดทำไมอ่ะ
พี่วิน : ถึงแล้ว
เรา : อะไร ยังไม่ถึงรถไฟเลย
พี่วิน : อ่าว น้องจะไปรถไฟไหนอีก ตลาดพลูพี่สถานีเดียวเนี่ยแหล่ะ
เรา : ง่ะ พี่ หนูจะไปสถานีรถไฟฟ้าวงเวียนใหญ่อ่ะ
พี่วิน : เอ้า ก็ไม่บอกให้ชัด ก็นึกว่ามาสถานีรถไฟตลาดพลูเนี่ย เกาะแน่นๆ นะน้อง
เรา : (นี่ตูมึน หรือพี่วินกวนตรีนวะเนี่ย) -*-

วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

รถไฟฟ้า...กับที่นั่งสีเหลือง...

เค้าว่ากันว่า ถ้าจะเขียนอะไรซักเรื่อง เราต้องเขียนเรื่องที่เรารู้ หรือสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจ
ตอนนี้เราต้องใช้รถไฟฟ้าเพื่อเดินทางไปทำงานทุกเช้า เดินทางกลับบ้านทุกเย็น
เลยรู้สึกว่านี่แหล่ะ ใกล้ตัวที่สุดแระ

วันนี้นั่งรถไฟฟ้ามา (ความจริงไม่ได้นั่งหรอก อาศัยลำแข้งตัวเองล้วนๆ) เจอเหตุการณ์แปลกๆ
เราเปลี่ยนรถไฟฟ้าที่สถานีสยามเพื่อไปรถไฟฟ้าสายสีม่วง
คนก็แน่น เบียดเสียดกัน...คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า เกิดอาการแย่งชิงพื้นที่ตั้งแต่หน้าประตู
พอเราเข้าไปข้างในขบวนแล้ว เห็นที่นั่งเหลืองอ๋อยว่างอยู่สองที่ ก็เล็งไว้แระว่ามันต้องเป็นของช้านนนน
เดินไปอย่างว่องไว ปรากฎว่าไม่ทัน มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งพรึ่บ...ตามด้วยวางถุงกระดาษที่ถือมาบนที่นั่งข้างๆ
ประกาศอย่างโจ่งแจ้งว่าที่นั่งนี้ข้าจอง...หลายๆ คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นมองด้วยความฉงนฉงายว่ามีคนกล้าจองที่บนรถไฟฟ้าให้กันด้วยเหรอเนี่ย...แม่เจ้าประคุณช่างกล้า สงสัยจะจองให้แม่หรือคุณยายที่อาจจะเข้ามาช้า

แต่ก็ถึงบางอ้อในเวลาไม่กี่วินาทีว่าที่แท้ที่นั่งนั้นถูกจองให้กับเพื่อนหนุ่มของเธอ...หุหุ ร้ายนะคะ
เจ้าของที่เดินมาถึง เขาปฏิเสธว่าจะไม่นั่ง
แต่สิ่งที่ทำให้เราอึ้งคือผู้หญิงคนนั้นกลับโมโหที่แฟนเธอไม่นั่ง จะยกให้ผู้หญิงที่สูงวัยกว่านั่ง
ไม่โมโหอย่างเดียว ยังสั่งผู้ชายคนนั้นเสียงเขียวเลยอ่ะ ว่า "นั่งสิ ทำไมถึงไม่นั่ง ทำแบบนี้ไม่ชอบจริงๆ"
สุดท้ายผู้ชายก็ต้องนั่งเจ้าคร้า เราก็คุณน้าที่ยืนอยู่โหนห่วง เกาะเสา และราวอยู่แถวๆนั้น มองหน้ากันอย่างงงๆ

ไม่รู้ว่าคนอื่นคิดอย่างไรกับเหตุการณ์นี้
และที่มาเขียนเล่าก็ไม่ได้ต้องการจะตัดสินว่าการกระทำแบบนี้มันควรหรือไม่ควร
แต่ว่าอย่างน้อยก็ทำให้เราเห็นว่า..การกระทำไหนที่เราจะเลี่ยงไม่ทำ
สังคมอาจจะน่ารักขึ้นกว่าเดิม

ค้นหาบล็อกนี้

Powered By Blogger